วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คุณค่าของขีวิต


       
  พอดีว่าครูออยได้ไป ฝึกวิปัสนากรรมฐานมาก และได้คุยกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เข้ามาฝึกด้วยกัน (ถ้าได้เข้ามาอ่าน ก็ขออนุญาติ ก็แล้วกันนะคะ)
          และอาจจะมีหลายท่านที่กำลังประสบปัญหา คล้ายกับท่านนี้ ก็จะเขียนเรื่องนี้ให้เป็นกำลังใจให้กับผู้หญิงหลายๆ ท่าน
         เอาเป็นว่าเพื่อนคนนี้จัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่เข้าข่ายหน้าตาดี อายุเลยเลข 30 ไปกว่าๆ แล้ว อีกพักใหญ่ๆ ก็จะ 40 แล้ว คิดว่าผู้หญิงทุกคนเมื่อถึงวัยนี้ จะเห็นความเสื่อมของร่างกายตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วก็กลัว ว่าเมื่อตัวเองหมดความสวย และเสื่อมลงก็จะหมดคุณค่า ไม่มีใครมอง
       ชีวิตของเพื่อนคนนี้เขามีคุณสมบัติครบทุกอย่าง ด้านความรู้ที่เรียนมา เรียนจบถึงปริญญาโท และยังมีโอกาสไปเรียนต่อที่ ต่างประเทศอีก หลายปี แล้วได้ทำงานที่คล้ายๆกับงานราชการ โจทย์และปัญหาในการทำงานไม่ได้ยาก ไม่ได้ดิ้นรน ต่อสู้ เอาเป็นว่างานสบาย จากนั้นก็ได้ลาออกมาแต่งงาน อยู่กับสามี เป็นแม่บ้านดูแลบ้านและสามี แล้วก็แยกทางกัน ในวัยที่กำลังจะโรย พอดี คือ อีกพักหนึ่งก็จะสี่สิบ แล้ว
       ปัญหามันอยู่ที่ ตอนที่ทำงานไม่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ยากลำบาก ไม่ได้ด้นรนต่อสู้ ไม่มีความชำนาญเฉพาะตัว ไม่ได้ทำงานที่เรียกความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ แล้วเธอก็ยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นจริง ตอนที่จบมาก็เลือกเอางานที่สบาย ไม่ลำบาก ทั้งที่ตอนนั้นกำลังมีไฟ มีทั้งกำลัง และสติปัญญา แต่กลับไม่ได้นำออกมาใช้
      เอาหล่ะ แต่ถ้าเริ่มต้นตอนนี้มันก็ยังไม่สายเพราะยังมีแรง มีร่างกายที่ครบสมบูรณ์อยู่ เธอเฝ้าแต่วนเวียนถามว่า จะเริ่มต้นอย่างไร  จะเริ่มต้นตรงไหน เธอได้แต่เฝ้ามองหาทางที่จะเริ่มต้น เดินวนไปวนมาก็หาทางไม่ได้ซักที นี่เป็นเพราะว่าเธอมัวแต่หาทาง ตากหาก เลยไม่ได้เริ่มต้น
    ถ้าหากจะเริ่มทำอะไร เมื่อคิดว่า เราได้สะสมความรู้ และหาทางจนพอแล้ว ก็ ลงมือทำ และก็ทำ และก็ทำ การที่เราจะทำงานอะไร ซักอย่าง มันเริ่มจากการลงมือทำ ไม่ใช่อ่านหนังสือ แล้วก็คิดอย่างเดียว แต่ไม่ลงมือทำซักที มันต้องลองล้มเหลว และลุกขึ้นมา แล้วก็ล้มอีก ล้มอีก ล้มลงจนเรามีภูมิต้านทานเรื่องการลุกขึ้นสู้ เมื่อถึงตอนนั้น เราจะเดินได้อย่างมั่นคงและสง่าผ่าเผย
    จะทำธุรกิจในเบื้องต้นนั้น มันก็เหมือนกับการเล่นว่าว ก่อนอื่นก็ต้องศึกษาเรื่องว่าว และลงมือทำว่าว
พอเราจะเอาไปเล่น เพื่อให้ว่าวขึ้นฟ้า ก็ต้องวิ่ง และก็วิ่ง ล้มบ้างอะไรบ้าง จนเหนื่อย ว่าวจะติดลม หรือขึ้นหรือไม่ก็ขึ้นกับการวางแผนแต่แรก ถ้าวางแผนดี ก็ไม่ต้องวิ่งมาก ถ้าวางแผนไม่ดี ก็ต้องเหนื่อยกันบ้างล้มลุกคลุกคลาน ลำบากลำบนเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมันไม่ดี ก็นำกลับมาแก้ไข แล้วก็วิ่งต่อ การวิ่งให้ว่าวติดลม ก็ต้องรู้ทิศทางลม เหมือนกับคนหัดว่ายน้ำ เมื่อว่ายน้ำไม่เป็น ก็ว่ายสะเปะสะปะ เหนื่อยง่าย หงุดหงิดท้อแท้ ไม่อยากว่าย หรือไม่อยากจะวิ่ง แต่เมื่อเป็นแล้วจับทิศทางได้แล้ว ทุกอย่างมันก็จะง่าย
   เมื่อว่าวติดลมบน แล้ว เราก็จะมีความสุข แต่ ไม่นานหรอก เราต้องคอยดึงสายว่าวให้ดี อย่าให้ตึงเกิน อย่าให้หย่อนเกิน ตึงไป สายก็ขาด หย่อนไปว่าวก็ตก ถ้าลมหมดเราก็ต้องคอยวิ่งใหม่ เพื่อจับทิศทางลม
     เห็นใหม มันไม่ต่างกันจากการทำธุรกิจเลย มันมีขึ้นมีลง มีวิกฤติ เราต้องคอยหาความรู้ และกระตุ้นตัวเองตลอดเวลา มองโลกให้มันกว้างๆ เหมือนมองท้องฟ้า ที่มันไม่มีที่สิ้นสุด มองให้มันไกลๆ อย่ามองแค่ หน้าแข้ง หัวเข่า ของตนเอง ทุกอย่างอย่ามองแต่ข้อจำกัด มันไม่มีอะไรที่จำกัด และไม่มีอะไร ที่ไม่จำกัด ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา
      ใหนๆ ก็มีเวลาตั้ส 10 วันมานั่งวิปัสนาแล้ว ครูออย ก็ถามเธอว่าเธอจริงจังกับมันแค่ไหน เมื่อโอกาสนี้ มาอยู่ในมือเธอ เพราะน้อยคนมาก ที่จะมีเวลาถึงขนาดนี้ มานั่งวิปัสนาได้ แต่เธอกลับ ละโอกาสนั้น นั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เธอจะลุกไปก่อนครบ กำหนดเวลาทุกที แค่ความพยายามในการมานั่งหายใจเฉยๆ เธอยังทนไม่ได้ แล้วการเริ่มต้นชีวิต กับธุรกิจ หล่ะ เธอจะพยายามแค่ไหน เธอไม่มีความมุ่งมั่น จริงจังกับสิ่งที่เธอคิดจะทำเลย มัวแต่มองหาหนทางในอนาคต แต่ไม่ได้มองปัจจุบันที่เธอเผชิญอยู่
   
      การทำงานก็ไม่ต่างจากการนั่งสมาธิวิปัสนาเลย การเริ่มต้นนั่งสมาธิในช่วงแรก มันช่างยากลำบากเหลือเกิน  การที่ไม่ตามใจตัวเอง มันยาก ปวดขา ปวดหลัง ยิ่งนั่งยิ่งปวด คันไปหมดทั้งร่างกาย อยากลุกไม่อยากนั่งแล้ว ทรมาน อยากจะเลิกนั่ง น่าเบื่อ ทรมานไปหมด แต่ก็ต้องทำ และพยายาม มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะทำให้ได้ มีเหนื่อย มีท้อ มีขี้เกียจ มีง่วง มีกิเลส สารพัด มาให้เราต่อสู้กับมัน
        แค่การมานั่งหายใจเฉยๆ ต่อสู้กับตัวเอง กับกิเลส ตัณหาของตัวเอง แท้ๆ แค่รู้จักตัวเองให้มากขึ้น ถ้าเรายังทำไม่ได้ หรือไม่พยายามตั้งอกตั้งใจทำ  แล้วโลกภายนอกหล่ะ กิเลสของคนอื่น ตัณหาของคนอื่น และต้องทำความรู้จักกับคนตั้งมากมาย ในโลกภายนอก ถ้าเรื่องแค่นี้เราทำไม่ได้ นับประสาอะไร กับหน้าที่การงานที่ เราจะต้องเผชิญ ในโลกธุรกิจ
       ถ้าหากเรามีความตั้งใจ แล้วเรามองความขี้เกียจ มองความเจ็บปวด ความสุข ความทุกข์ มองทุกอย่างที่เราเผชิญ และรับรู้มัน อยู่กับมันให้ใด้ ฝึกฝน ครองสติให้อยู่กับตัว ทำความรู้จักร่างกาย ตัวเองให้ได้
                 หากเราฝึกฝนจิตใจ มากเข้า เราจะมีเวลาเหลือเฟือ เวลาจะมากขึ้น ทุกอย่างจะช้าลง  ทุกอย่างมันจะเป็นเหมือนภาพสโลโมชั่น เป็นภาพช้า ๆ ไม่เร่งรีบ เราจะมองเห็น หมัดทุกหมัดของคู่ต่อสู้ มองเห็นการเคลื่อนไหว ทุกอย่างของธรรมชาติ และก็เข้าใจมัน จากที่เราทำงานจนไม่มีเวลา เร่่งรีบหัวฟู งานกองเต็มโต๊ะทำไม่ทัน  ไม่มีเวลาจะทำอะไรทั้งนั้น  ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่มีเวลาให้คนรัก ไม่มีเวลาแก้ปัญหา หากเราพยายาม เราก็จะมีเวลา เอง

    เวลามันไม่ได้หนีไปไหน มันอยู่กับเราตลอด เพียงแต่เราหามันไม่เจอแค่นั้น
 
     ถ้าเรานั่งสมาธิปัสสนา มากๆเข้า ตั้งใจและมุ่งมั่นมากเข้า เราจะพบกับ ปิติ หรือความสุขระดับหนึ่ง เราก็อย่าได้ยึดติดให้เป็นกิเลส เมื่อเราพบความทุกข์ ก็อย่าได้ยึดติด ให้ครองสติให้เป็นกลาง และฝึกฝนจิตใจตลอดเวลา เห็นใหม ว่ามันไม่ต่างจากการดึงสายว่าว เลย ไม่ต่างจากธุรกิจเลย อย่างไรเราก็ต้องคอยฝึกฝน ตัวเองอยู่ตลอด อย่าขี้เกียจ อย่าท้อแท้ อย่าสิ้นหวัง อย่าประมาท
   พยายามและตั้งอกตั้งใจมุ่งมั่นทำให้ได้อย่างมีสติและปัญญา แล้วเราจะพบหนทางนั้น

     การที่จะเข้าถึงวิปัสนาได้ ไม่ใช่การอ่านหนังสือเป็นร้อยเป็นพันเล่ม แล้วจะรู้ทุกอย่าง มันเป็นการรับรู้ภายนอก แค่สมอง  ถ้าไม่ได้ลงมือฝึกฝนปฏิบัติแล้ว คุณจะไม่ได้รับรู้อะไรเลย คุณจะไม่เห็นธรรมชาติ และสัจธรรม อะไรเลยในชีวิต
  มันต้องลงมือทำและปฏิบัติเท่านั้น
ผู้รู้ที่เคยปฏิบัติ เคยเข้าถึง วิปัสนาขั้นสูง หรือพระครูที่ประสบความสำเร็จแล้ว หรือ นักธุรกิจชื่อดังหลายท่านที่ประสบความสำเร็จแล้ว  ได้แต่บอกหนทาง ชี้ทางให้ เล่าให้ฟัง เขียนหนังสือให้อ่าน เขาไม่สามารภจูงมือคุณไปด้วย ไม่สามารถพาคุณไปพบกับความสุข ในโลกนิพพาน หรือโลกธุรกิจของเขาได้ เพราะสิ่งที่เขาได้มาเขาต้องผ่านมันด้วยตัวเองก่อนทั้งนั้น มันจูงมือไปไม่ได้ เขาก็ได้แต่ชี้ทาง ให้คุณเดิน คุณต้องเริ่มต้นก้าวเดินด้วยตัวเอง พร้อมกับหาความรู้ หรือหนังสือชี้ทาง หรือถามผู้รู้ทาง ระหว่างทางที่คุณเดิน เพื่อไม่ให้คุณหลงทาง
    ครูเคยบอก แล้วว่าเมื่อพบผู้รู้ที่เป็นคนดี มีเมตตา อย่าได้ปล่อยให้หลุดไป เพราะนั่นคือหนังสือ ที่หาซื้อไม่ได้ คนๆ นั้นจะเป็นผู้บอกทางเรา
   เมื่อได้พบคนบอกทาง แต่อย่าได้เชื่อเขาทั้งหมด จงใช้สติปัญญาตรึกตรองสิ่งที่เขาทำ และสิ่งที่เขาคิดให้ดี พิสูจน์ จนเป็นจริงแล้วจึงนำไปปฏิบัติ เพราะคนเราไม่เหมือนกัน การเดินทางซ้ำรอยเท้าคนอื่น มันง่าย แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาหลงทางหรือไม่
 
        ถ้าถามครู ว่าครูทำอย่างไร ถึงได้ทำอาชีพนี้ได้ทั้งที่ไม่ได้จบ ด๊อกเตอร์หรือจบจากสถาบันชื่อดัง ทั้งหลาย ตอบได้คำเดียว ว่าครูเริ่มจากการเห็นใจผู้อื่น และอยากช่วยเหลือเขา อยากให้คนที่เขาด้อยกว่าเรา มองเห็นศักยภาพของตัวเอง และทำงานอย่างมีความสุข ในหน้าที่ของตัวเอง
      แม่บ้านเป็นอาชีพที่ ด้อยค่าที่สุดในสายตาพนักงานทั้งองค์กร โดนดูถูก และเขาก็ดูถูกตัวเองด้วย มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง เมื่อเขาไม่รู้จักค่าของตัวเอง แล้วใครที่ใหนจะมองเห็นค่าของคุณ
      แต่กลับเป็นฟันเฟือง กำลังสำคัญที่สุดในองค์กร จำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญในงานของตัวเอง แต่กลับกัน แม่บ้านกลับเป็นแผนกที่มีความรู้น้อยที่สุด ไม่มีปากเสียง พูดไม่เป็น เสียงที่พูดก็ไม่มีความหมาย กลับเป็นเสียงบ่น เสียงของความขี้เกียจ และความทุกข์ยาก ที่ไม่มีใครรับรู้ หรือเข้าใจ
   
     ครูเริ่มจากการทำงานให้คนอื่น ทำธุรกิจ ที่ไม่ใช่ธุรกิจ โดยไม่มองไปที่กำไรหรือผลตอบแทนที่สูง ไม่มองความได้เปรียบเสียเปรียบ ให้เท่าที่เราจะให้ได้ โดยที่ ไม่ต้องเบียดเบียนตัวเอง  เราอยู่ได้เขาก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน มองกันที่ผลของมัน ทำให้เต็มที่เต็มพลังความสามารถ มีเท่าไหร่ที่จะให้เขาดี ขึ้นได้ ก็ให้  และไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง ว่าเราให้เขาไม่เต็มที่ ตอนทำงาน


การที่เราจะให้ความรู้กับคนอื่นได้ เราต้องรู้ก่อน รู้จากการลงมือทำและปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นและตั้งอกตั้งใจ


    การที่เราจะให้ความสุขคนอื่นได้ เราต้องมีความสุขก่อน คนที่มีความสุขใครอยู่ใกล้ ก็จะมีความสุขไปด้วย คนที่มีความดี ใครอยู่ใกล้ก็จะ มีความดีไปด้วย
         เขาว่ากันว่า คนดี จะดึงดูดคนดีเข้าไปหากันเอง แล้วคนเลว จะดึงคนเลว เข้ากลุ่มกันเอง
 เป็นความโชคดีในชีวิต ของครูออยที่พบแต่คนดีๆ มีที่ปรึกษาที่ดี และเป็นคนดี ได้พบและร่วมงานกับคนที่มีเมตตากรุณา ให้กำลังใจ และตักเตือน ให้ความรู้และชี้แนะแนวทาง และเป็นผู้บอกหนทางที่ดีให้เดิน
 
      การที่เราจะช่วยเหลือใคร ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือ แต่เรื่องเงินทอง เพราะมันไม่ยั่งยืน ให้ความรู้และให้อาชีพเขา และให้เขายืนได้ด้วยตัวเองนั่นแหละ เขาเรียกว่าเป็นความปราถนาดีจริงๆ

 


           
   


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น