วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Housekeeping training อบรมแม่บ้านโรงแรม ที่โรงแรมวาสิฏฐี ที่สุพรรณบุรี


          งานนี้ได้ไปอบรมแม่บ้านโรงแรม ที่โรงแรมวาสิฏฐี ที่สุพรรณบุรี หรือเมืองบรรหารแจ่มใส (จริงๆ) ไปที่สุพรรณ ถ้าเห็นรูปท่านบรรหาร ละก็ นั่นแหละสุพรรณ ไม่หลง ฮ่าๆๆ
http://www.vasidteecity.com/

           เข้าไปครั้งแรกที่ เห็น โรงแรมตกแต่งอย่างสวยงาม สีสันสะดุดตา ยิ่งช่วงกลางคืน ละก็สว่าง
สไหว ไปด้วยสีสันของการตกแต่งไฟ   เฟอร์นิเจอร์ และวัสดุที่ใช้ ล้วนเป็นงานออกแบบตกแต่งสมัยใหม่ เริ่มเข้าใจ ละ ว่าทำไม ผู้บริหาร โรงแรมวาสิฏฐี ถึงได้เชิญ ครูออย ให้มาสอนงานแม่บ้าน เพราะว่า วัสดุแต่ละอย่าง น่าจะเกินความรู้และประสบการณ์ของแม่บ้าน เพราะแม่บ้านแต่ละท่าน เป็นคนพื้นถิ่น มีอาชีพ ทำไร่ทำนาทั่วไป หรือทำงานอย่างอื่น ย่อมไม่มีประสบการณ์การทำงานโรงแรมมาเลย และบางครั้ง ก็แทบจะไม่รู้จักวัสดุ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่นำมาตกแต่ง โรงแรมเลย 
           บอกตามตรง ที่นี่เหมือนจะแก่เกินวัย เนื่องจากโรงแรม อายุน้อย แต่การใช้ของ และ เฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่เริ่มเสื่อมก่อนอายุ เนื่องจากการใช้งานหนัก และขาดการดูแลที่ถูกต้อง 
          แม่บ้านวาสิฏฐี น่ารักมาก ให้ความร่วมมือ และ ร่วมใจกันเรียนอย่างพร้อมเพรียง ทุกท่านมีความอยากรู้อยากเห็น กระตือรือร้น กับความรู้ใหม่ๆ ตั้งใจเรียนกันเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนพบปัญหา อยากแก้ปัญหา แต่มองหนทางไม่พบ 
  ต้องเป็นอย่างนี้สิ แม่บ้าน ต้องมีทัศนคติที่ดีแบบนี้ เพียงเพิ่มความรู้ให้ ทุกคนจะมองเห็นหนทาง และแนวทางวิธีทำงานของตัวเองอย่างชัดเจน

สนใจวิทยากร สอนงานแม่บ้าน ติดต่อได้ที่ 0853683384 ครูออย 
หรือ E:mail  jchantaluck@hotmail.com
Mobil: +6685-368-3384
Facebook : Housekeeping trainer chantaluck



เริ่มหัดจัดดอกไม้ ชอบใจกันใหญ่


ฝีมือแม่บ้าน โชว์ซะหน่อย

เริ่มเรียนภาคทฤษฎี แต่ละคน หน้าตาเครียดกันใหญ่ หลับแหล่ ไม่หลับแหล่ ๆๆ ^^



พอเริ่มออกมาปฏิบัติ หัวเราะกัน คิกๆๆ

พอครูจับไต๋ได้ ฮากันลั่น รู้นะทำอะไรกันไว้


กระป๋องน้ำยา ทิ้งไว้ข้างล่างแล้วค่อยขัดก็ได้ นะจ๊ะ คุณพ่อบ้าน หวงจัง กระป๋องนะ

หัดใช้ไม้ดันฝุ่นกันหน่อย ทำความเข้าใจกับน้ำยาดันฝุ่น

ทั้งหมดแถวตรง อย่าเอาไม้ดันฝุ่นไป พาดหน้าคนอื่นเค้าหล่ะ



สอนขัดหนัง โซฟา ที่ล๊อปบี้จ้า


มาเรียนเรื่องผ้าที่ใช้ในห้องพักกัน

คราวนี้ต้องเชิญหัวหน้ารีเชฟชั่นมาเรียนด้วย จะได้เข้าใจ การทำงานของแม่บ้านบ้าง เนอะ
 จะได้ไม่นั่งเทียนขายห้อง (แซวเล่นน๊า)

พนักงานต้อนรับหรือพนักงานรับจองห้องพัก ต้องรู้จัก สภาวะของห้อง และบริหารห้องพักอย่างเชี่ยวชาญ ถึงมีแม่บ้านจำนวนน้อยแต่ฉลาดที่จะขายห้อง ก็ทุ่นแรงแม่บ้านได้มากเหมือนกัน

หลังจากที่ครูปูเตียงให้ดูจนหอบแฮ่ก แล้วตาแม่บ้าน บ้าง พอสอนวิธีทำเตียงให้ใหม่ ก็ถึงบางอ้อ กันว่าทำไมไม่ทำกันแต่แรก จะเหนื่อย กันมาทำไม

ทีนี้ก็จัดเตียงให้ดูดีนิดนึง

ตึงเรียบขนาดนี้ น่านอนจริง



คราวนี้ก็มาจัดหนักที่ห้องน้ำต้องเริ่มต้นกันใหม่

สะอาดแล้ว ก็เก็บงาน

ต้องสอนการเก็บรายละเอียดงาน และการป้องกันการเกิดคราบ 


หน้าบานกันเต็มกล้องเลย พอแม่บ้านลงงานภาคปฏิบัติแล้ว เหมือนปลาได้น้ำกันจริงๆๆ ^^



เช็คแก้วน้ำกันหน่อย เป็นอย่างไรบ้าง

ลืมภาพอาจารย์ใส่เสื้อสูทไปก่อนนะคะ ตอนนี้ขอเช็คชักโครกก่อน 55

สอนการทำความสะอาดห้องพักแขก

อะไรที่ควรจัด และไม่ควรจัด ดูดีๆ นะคะ


สอนพับผ้า เป็นงานพิเศษให้แม่บ้าน

พอทำกันได้ก็โพส ถ่ายรูปกันใหญ่เลย มะสนใจครูเล้ย

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิธีปฏิบัติตัว เมื่อเข้าพักโรงแรม

           หลายท่านคงจะเคยพักโรงแรมกันบ่อยๆ และก็เคยได้ยินเรื่องเล่าความไม่สะอาดของโรงแรมมามาก ถ้าหากเราจำเป็นต้องเข้าพัก ในโรงแรม ทั้งข้อจำกัดในเรื่องราคาและสถานที่ เราควรจะดูแลตัวเองอย่างไร
      เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าโรงแรม เป็นแหล่งรวมที่มีหลายคน หลายสัญชาติ เข้ามาพัก เหมือนกับเรา มานอน ห้องนอนที่ไม่ใช่ของเราที่บ้าน ดังนั้นความสกปรก เชื้อโรค แมลง และหลายๆอย่าง จึงมารวมอยู่ที่เดียวกัน ความสะอาดของห้องพักจึงจำเป็น เป็นอย่างยิ่ง สำหรับโรงแรม
     มีหลายโรงแรม ที่มองไม่เห็นความสำคัญเรื่องความสะอาดและอนามัยของลูกค้าที่เข้ามาพัก เพียงแค่ได้ขายห้อง ให้ผ่านไปวันๆ ก็พอแล้ว และยังได้เร่งรีบให้พนักงานทำความสะอาดอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ขายห้องพักได้ทันใจลูกค้า  ทั้งสภาพห้องเล็กและแคบไม่มีที่ถ่ายเทอากาศ บางห้องแทบไม่มี หน้าต่างระบายอากาศและเชื้อโรค  ความเหมาะสมของสภาพห้องพักกับอากาศที่ร้อนชื้น ในเมืองไทย เรียกได้ว่าคนละ อย่างกันเลย  แถมบางที่ยังมีพรม ไว้กักเก็บความชื้น และเป็นแหล่งที่อยู่ของ แมลง ที่เรียกว่า ตัวเรือดอีก
    ฉะนั้นการเลือกโรงแรมที่พัก ควรจะดูให้ดี ดูสภาพการตกแต่งห้องพัก บางครั้งก็ไม่ได้ดูแต่ความสวยงามอย่างเดียว  ดูแต่ความสะดวก อย่างเดียว ถ้าหากเราต้องพักในสถานที่นั้นเป็นเวลานานหลายวัน ควรจะ ป้องกันตัวเองไว้บ้าง ติดเชื้อมา มันไม่คุ้มกัน
     ถ้าหากโรงแรมใหนขายดี มากๆ การพักห้อง แทบจะไม่มีเลย มีการเปิดแอร์ตลอดสภาวะห้อง เป็นสภาพห้องปิดอยู่ตลอด การพักห้อง หมายถึง การฆ่าเชื้อในอากาศ ในห้องพัก คือการเปิดหน้าต่าง ระบายอากาศ ให้มีอากาศใหลเวียนภายในห้อง ให้แสงแดดส่องเข้าถึงห้อง
     และถ้าโรงแรมที่ขายดีมากๆ ไม่สามารถพักห้องได้ จะมีการฆ่าเชื้อโดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีเข้าช่วย แล้วจะมีกี่ สักโรงแรม ที่จะทำแบบนี้ การฆ่าเชื้อ ไม่ใช่สเปรย์ ปรับอากาศนะคะ ไม่ใช่ว่าใช้สเปรย์ มาฉีดให้หอม แล้วบอกว่าฆ่าเชื้อแล้ว
     เมื่อภูมิต้านทานของเราลดลง ทั้งเรื่องสภาพอากาศ และการเปลี่ยนแปลงสถานที่ อาหารการกิน การทำงาน หรือเที่ยวอย่างหนัก ทำให้ภูมิต้านทานลดลง การติดเชื้อก็ยิ่งง่าย เข้าไปอีก ทีนี้เริ่มเห็นความสำคัญของ ห้องพักในโรงแรมหรือยัง
      เคยเขียนไว้ครั้งหนึงแล้ว ว่าถ้าหากคุณไปพัก ไม่ว่า ที่ไหน เมื่อห้องพักยังไม่ได้ทำความสะอาด หรือแม่บ้าน ทำห้องพักไม่ทัน อย่าได้ไปเร่งกับพนักงาน เพื่อที่จะได้ห้องพักเร็วๆ  เพราะแม่บ้านจะลนลาน ทันที และทำห้องให้คุณอย่างรวดเร็ว คิดดู ว่าจะเหลือความสะอาดที่ปราณีต ให้คุณหรือไม่ ถ้าหากเป็นไปได้ ควรจะปล่อย เวลาให้เขาทำงาน ไปที่อื่นก่อน ก็ได้
      ถ้าเป็นไปได้ ควรจะปล่อยให้ห้องพัก ได้ระบายอากาศบ้าง หากคุณเข้าพักกลางวัน ก็สั่งให้พนักงานเปิด หน้าต่างให้ระบาย ก่อนที่จะเข้าไปใช้ห้อง อย่าได้เข้าพักทันที หลังจากคนอื่นเข้าพัก เพิ่งคืนห้อง
     เพราะห้องน้ำ จะมีความชื้นสูง แม้ว่าแม่บ้านจะใส่น้ำยาฆ่าเชื้อ(แล้วแน่ใจใหม ว่าเขาฆ่าเชื้อเป็นอย่างดีแล้ว) และเช็ดให้แห้งก็ตาม ก็ควรปล่อยให้ มีการถ่ายเทอากาศในห้องบ้าง
     บางครั้งถ้าเราเข้าพักในโรงแรม ก็จะมองหาแต่ฝุ่น ถ้าไม่มีฝุ่นแม้แต่เล็กน้อยก็ถือว่าห้องสะอาด เชื่อเถอะ อากาศ และความชื้นที่อยู่ในห้อง สกปรกมากกว่าฝุ่นซะอีก ทีนี้เรามาสังเกตฝุ่นกัน ว่ามันฝุ่นระดับไหน จะถือว่าแม่บ้าน ละเลย มันไม่ใช่เรื่องยาก ทุกคนก็รู้จักฝุ่นกันอยู่แล้ว ดูว่าฝุ่นเบา หรือฝุ่นหนัก ฝุ่นที่จับตัวกันเป็นก้อนคือฝุ่นหนักก็หมายถึง แม่บ้านละเลย ฝุ่นเบาๆ ที่มองเห็นตามโต๊ะ หรือเครื่องเรือน ลอยมาตามอากาศ ตอนที่เราเปิดหน้าต่าง หรือฝุ่นผ้า อันนี้ไม่ใช่ปัญหา
   เคยมีคำถามจาก หลายๆท่าน ว่า ควรจะให้เวลาทำห้องแม่บ้าน กี่นาที คำตอบนี้ ไม่สามารถตอบเป็นมาตรฐานได้ ถ้าตามตำรา ที่เขาบอกไว้ ก็ 15,20,30, นาทีตามสภาวะของห้องคือ ห้องว่าง ห้องแขกอยู่ ห้องแขกเอ้าท์
        ทีนี้เราจะมาเอามาตรฐานตามตำราที่เขียนไว้หลายปี แล้ว มายึดถือไม่ได้ ในสมัยนี้ การตกแต่งห้อง ต่างกัน ของใช้ในห้องพักต่างกัน ขนาดห้องต่างกัน สภาพแวดล้อมของโรงแรมต่างกัน ทั้งเรื่องอากาศ และ สถานที่ ของโรงแรมก็ต่างกัน เช่น ภาคใต้โรงแรมที่ติดทะเลจะมีไอทะเล ฝุ่นจะเหนียวและการทำความสะอาดจะยากกว่าภาคกลางและภาคเหนือ
         การสร้างโลเกชั่นของโรงแรม ต้องขึ้นเขา ลงห้วย อยู่ในน้ำ อยู่บนหน้าผา เป็นหลังๆ ทำให้แม่บ้านเดินทำงานลำบากต้องแบกของขนของหลายเที่ยว เสียเวลา เพราะตอน สร้างไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ เช่นทำห้องเก็บของใกล้ๆ บ้านพัก เพื่อให้แม่บ้านสะดวกต่อการทำงาน
            ลักษณะการใช้ห้องของลูกค้าต่างกัน บางคนสะอาด บางคนสกปรก ที่สำคัญความชำนาญในงานทำความสะอาดของ ตัวพนักงานเอง ก็ต่างกัน  ฉะนั้นเวลาจะจำกัดกับแม่บ้านมากๆ ไม่ได้ คุณภาพของห้องพักที่จะส่งให้ถึงมือลูกค้าจะตกทันที เมื่อมีการกดดันแม่บ้านมากๆ  ถ้าหากลูกค้ามี ที่ดีกว่าเขาก็จะไปจากโรงแรมเราทันที เหมือนกัน แต่บางครั้งที่เขาไม่ไป เป็นเพราะเขาต้องทนอยู่ เพราะจ่ายเงินมาแล้ว ขอคืนก็ไม่ได้ แล้วถามโรงแรม ที ว่าอยากได้ ลูกค้าที่ ทนอยู่ หรือ ลูกค้าที่อยู่ทน

                โลเกชั่น ความสวยงามและความแปลกใหม่ ไอเดียการสร้างสรรค์ ของโรงแรม รีสอร์ท เป็นเรื่องดี ที่เป็นสิ่งดึงดูดลูกค้า เข้ามาพัก แต่ถ้าคุณสวย สกปรก หล่ะ ใครเขาอยากจะอยู่กับคุณนานๆ เขาจะมาใช้คุณไม่กี่ครั้ง เมื่อคุณโทรมและ หมดสวย เขาก็จะไม่มาอีก แล้วหากคุณทำการตลาดหนักๆ เยอะๆ เข้า ก็จะเป็นเหมือนการตีหัวเข้าถ้ำ สร้างความผิดหวังและ เสียความรู้สึก กับลูกค้า
                     
            พูดถึงโรงแรมแล้วมันยาวทุกที ว่าจะเขียนถึงเรื่องการป้องกัน ตัวเองของผู้เข้าพัก ก็เลยเถิดถึง ส่วนโรงแรม เอ้า มาดูกัน
             1. เปิดหมอนดูซิ ว่า สภาพหมอนที่ใช้หนุนหัวนอน ใช้แก้มแนบ ใช้จมูกมุดๆ ลงไป ว่ามันสะอาดใหม มีกลิ่นเหม็นตุตุ หรือปล่าว ปลอกหมอนอาจจะดูสะอาด แต่ดูด้านในหมอนซิ เหลืองอ๋อย คราบน้ำหู น้ำตา น้ำลายใครต่อใคร หลายคน หยดแหมะ บนหมอนที่เราหนุนนอนใหม
                 วิธีแก้ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ หาซื้อกันเปื้อนหมอน หรือแพดหมอน ซักใบ ติดตัวไปด้วย เวลาเข้าพัก ก็ถอดปลอกหมอนออก แล้วใส่กันเปื้อนหมอน ทับอีกที แล้วก็ใช้ปลอกหมอนของโรงแรมได้ ปลอกหมอนส่วนใหญ่โรงแรมจะซักทุกครั้ง หลังเปลี่ยนลูกค้าอยู่แล้ว แต่เชื่อเถอะ ว่าส่วนใหญ่โรงแรม ไม่ซักหมอน ไม่ทำความสะอาดหมอน หลังเปลี่ยนลูกค้าทุกคนหรอก และก็ไม่มี กันเปื้อนหมอนรองหมอนให้เราด้วย เตรียมไปเอง ดีที่สุด
             2.   ดึงผ้าปู ออกมุมหนึ่ง เปิดดูที่นอน หรือเตียงนอน ว่าสภาพ เก่าแก่ขนาดใหน อันนี้แก้ไม่ได้เพราะเราคงจะแบกที่นอนไปด้วย ไม่ได้ ก็แค่ถ้าเลี่ยงได้ ก็เลี่ยง หากพบฟูกนอนเก่าแก่ขนาดนั้น ถ้านอนก็คงไม่ต่างจากนอนฟูก ที่มันใช้การไม่ได้ ปวดหลัง ปวดคอ ไปตามๆกัน
             3.   เปิดผ้าห่ม ที่อยู่ บนเตียงออกดู ก่อน เพราะบางครั้ง ห้องนั้นไม่ได้ขายเป็นเวลานาน แม่บ้านจะไม่ใส่ใจ ใต้ผ้าห่ม บางทีอาจมีอะไรซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม ก็ได้
             4. ตอนกลางคืน ปิดไฟให้หมด แล้วใช้ไฟฉายส่องดูตามขอบที่นอน ว่ามีตัวเรือดออกมาเพ่นพ่านหรือไม่    ถ้ามีละก็ เผ่นได้ ถ้านอนละก็คืนนั้นคุณจะอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ
            5.   แก้วน้ำ เอาไปลวกน้ำร้อน หรือล้างใหม่ ก่อนใช้ทุกครั้ง
            6.  ชักโครก สายชำระ อ่างล้างหน้า ให้เตรียม ยาฆ่าเชื้อมาด้วย ก็ให้ใส่สเปร์ ติดตัวมาเลย ฉีดให้ทั่วสุขภัณฑ์ ก่อนใช้

แค่นี้ก็ก็แล้วกันนะคะ มากไปกว่านี้ ละก็ ไม่ต้องไปไหนกันอยู่แต่บ้านอย่างเดียว
และก็เดียวคุณแม่บ้านโรงแรม จะมาแหกอกครูออย ^_^

           



วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คุณค่าของขีวิต


       
  พอดีว่าครูออยได้ไป ฝึกวิปัสนากรรมฐานมาก และได้คุยกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เข้ามาฝึกด้วยกัน (ถ้าได้เข้ามาอ่าน ก็ขออนุญาติ ก็แล้วกันนะคะ)
          และอาจจะมีหลายท่านที่กำลังประสบปัญหา คล้ายกับท่านนี้ ก็จะเขียนเรื่องนี้ให้เป็นกำลังใจให้กับผู้หญิงหลายๆ ท่าน
         เอาเป็นว่าเพื่อนคนนี้จัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่เข้าข่ายหน้าตาดี อายุเลยเลข 30 ไปกว่าๆ แล้ว อีกพักใหญ่ๆ ก็จะ 40 แล้ว คิดว่าผู้หญิงทุกคนเมื่อถึงวัยนี้ จะเห็นความเสื่อมของร่างกายตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วก็กลัว ว่าเมื่อตัวเองหมดความสวย และเสื่อมลงก็จะหมดคุณค่า ไม่มีใครมอง
       ชีวิตของเพื่อนคนนี้เขามีคุณสมบัติครบทุกอย่าง ด้านความรู้ที่เรียนมา เรียนจบถึงปริญญาโท และยังมีโอกาสไปเรียนต่อที่ ต่างประเทศอีก หลายปี แล้วได้ทำงานที่คล้ายๆกับงานราชการ โจทย์และปัญหาในการทำงานไม่ได้ยาก ไม่ได้ดิ้นรน ต่อสู้ เอาเป็นว่างานสบาย จากนั้นก็ได้ลาออกมาแต่งงาน อยู่กับสามี เป็นแม่บ้านดูแลบ้านและสามี แล้วก็แยกทางกัน ในวัยที่กำลังจะโรย พอดี คือ อีกพักหนึ่งก็จะสี่สิบ แล้ว
       ปัญหามันอยู่ที่ ตอนที่ทำงานไม่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ยากลำบาก ไม่ได้ด้นรนต่อสู้ ไม่มีความชำนาญเฉพาะตัว ไม่ได้ทำงานที่เรียกความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ แล้วเธอก็ยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นจริง ตอนที่จบมาก็เลือกเอางานที่สบาย ไม่ลำบาก ทั้งที่ตอนนั้นกำลังมีไฟ มีทั้งกำลัง และสติปัญญา แต่กลับไม่ได้นำออกมาใช้
      เอาหล่ะ แต่ถ้าเริ่มต้นตอนนี้มันก็ยังไม่สายเพราะยังมีแรง มีร่างกายที่ครบสมบูรณ์อยู่ เธอเฝ้าแต่วนเวียนถามว่า จะเริ่มต้นอย่างไร  จะเริ่มต้นตรงไหน เธอได้แต่เฝ้ามองหาทางที่จะเริ่มต้น เดินวนไปวนมาก็หาทางไม่ได้ซักที นี่เป็นเพราะว่าเธอมัวแต่หาทาง ตากหาก เลยไม่ได้เริ่มต้น
    ถ้าหากจะเริ่มทำอะไร เมื่อคิดว่า เราได้สะสมความรู้ และหาทางจนพอแล้ว ก็ ลงมือทำ และก็ทำ และก็ทำ การที่เราจะทำงานอะไร ซักอย่าง มันเริ่มจากการลงมือทำ ไม่ใช่อ่านหนังสือ แล้วก็คิดอย่างเดียว แต่ไม่ลงมือทำซักที มันต้องลองล้มเหลว และลุกขึ้นมา แล้วก็ล้มอีก ล้มอีก ล้มลงจนเรามีภูมิต้านทานเรื่องการลุกขึ้นสู้ เมื่อถึงตอนนั้น เราจะเดินได้อย่างมั่นคงและสง่าผ่าเผย
    จะทำธุรกิจในเบื้องต้นนั้น มันก็เหมือนกับการเล่นว่าว ก่อนอื่นก็ต้องศึกษาเรื่องว่าว และลงมือทำว่าว
พอเราจะเอาไปเล่น เพื่อให้ว่าวขึ้นฟ้า ก็ต้องวิ่ง และก็วิ่ง ล้มบ้างอะไรบ้าง จนเหนื่อย ว่าวจะติดลม หรือขึ้นหรือไม่ก็ขึ้นกับการวางแผนแต่แรก ถ้าวางแผนดี ก็ไม่ต้องวิ่งมาก ถ้าวางแผนไม่ดี ก็ต้องเหนื่อยกันบ้างล้มลุกคลุกคลาน ลำบากลำบนเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมันไม่ดี ก็นำกลับมาแก้ไข แล้วก็วิ่งต่อ การวิ่งให้ว่าวติดลม ก็ต้องรู้ทิศทางลม เหมือนกับคนหัดว่ายน้ำ เมื่อว่ายน้ำไม่เป็น ก็ว่ายสะเปะสะปะ เหนื่อยง่าย หงุดหงิดท้อแท้ ไม่อยากว่าย หรือไม่อยากจะวิ่ง แต่เมื่อเป็นแล้วจับทิศทางได้แล้ว ทุกอย่างมันก็จะง่าย
   เมื่อว่าวติดลมบน แล้ว เราก็จะมีความสุข แต่ ไม่นานหรอก เราต้องคอยดึงสายว่าวให้ดี อย่าให้ตึงเกิน อย่าให้หย่อนเกิน ตึงไป สายก็ขาด หย่อนไปว่าวก็ตก ถ้าลมหมดเราก็ต้องคอยวิ่งใหม่ เพื่อจับทิศทางลม
     เห็นใหม มันไม่ต่างกันจากการทำธุรกิจเลย มันมีขึ้นมีลง มีวิกฤติ เราต้องคอยหาความรู้ และกระตุ้นตัวเองตลอดเวลา มองโลกให้มันกว้างๆ เหมือนมองท้องฟ้า ที่มันไม่มีที่สิ้นสุด มองให้มันไกลๆ อย่ามองแค่ หน้าแข้ง หัวเข่า ของตนเอง ทุกอย่างอย่ามองแต่ข้อจำกัด มันไม่มีอะไรที่จำกัด และไม่มีอะไร ที่ไม่จำกัด ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา
      ใหนๆ ก็มีเวลาตั้ส 10 วันมานั่งวิปัสนาแล้ว ครูออย ก็ถามเธอว่าเธอจริงจังกับมันแค่ไหน เมื่อโอกาสนี้ มาอยู่ในมือเธอ เพราะน้อยคนมาก ที่จะมีเวลาถึงขนาดนี้ มานั่งวิปัสนาได้ แต่เธอกลับ ละโอกาสนั้น นั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เธอจะลุกไปก่อนครบ กำหนดเวลาทุกที แค่ความพยายามในการมานั่งหายใจเฉยๆ เธอยังทนไม่ได้ แล้วการเริ่มต้นชีวิต กับธุรกิจ หล่ะ เธอจะพยายามแค่ไหน เธอไม่มีความมุ่งมั่น จริงจังกับสิ่งที่เธอคิดจะทำเลย มัวแต่มองหาหนทางในอนาคต แต่ไม่ได้มองปัจจุบันที่เธอเผชิญอยู่
   
      การทำงานก็ไม่ต่างจากการนั่งสมาธิวิปัสนาเลย การเริ่มต้นนั่งสมาธิในช่วงแรก มันช่างยากลำบากเหลือเกิน  การที่ไม่ตามใจตัวเอง มันยาก ปวดขา ปวดหลัง ยิ่งนั่งยิ่งปวด คันไปหมดทั้งร่างกาย อยากลุกไม่อยากนั่งแล้ว ทรมาน อยากจะเลิกนั่ง น่าเบื่อ ทรมานไปหมด แต่ก็ต้องทำ และพยายาม มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะทำให้ได้ มีเหนื่อย มีท้อ มีขี้เกียจ มีง่วง มีกิเลส สารพัด มาให้เราต่อสู้กับมัน
        แค่การมานั่งหายใจเฉยๆ ต่อสู้กับตัวเอง กับกิเลส ตัณหาของตัวเอง แท้ๆ แค่รู้จักตัวเองให้มากขึ้น ถ้าเรายังทำไม่ได้ หรือไม่พยายามตั้งอกตั้งใจทำ  แล้วโลกภายนอกหล่ะ กิเลสของคนอื่น ตัณหาของคนอื่น และต้องทำความรู้จักกับคนตั้งมากมาย ในโลกภายนอก ถ้าเรื่องแค่นี้เราทำไม่ได้ นับประสาอะไร กับหน้าที่การงานที่ เราจะต้องเผชิญ ในโลกธุรกิจ
       ถ้าหากเรามีความตั้งใจ แล้วเรามองความขี้เกียจ มองความเจ็บปวด ความสุข ความทุกข์ มองทุกอย่างที่เราเผชิญ และรับรู้มัน อยู่กับมันให้ใด้ ฝึกฝน ครองสติให้อยู่กับตัว ทำความรู้จักร่างกาย ตัวเองให้ได้
                 หากเราฝึกฝนจิตใจ มากเข้า เราจะมีเวลาเหลือเฟือ เวลาจะมากขึ้น ทุกอย่างจะช้าลง  ทุกอย่างมันจะเป็นเหมือนภาพสโลโมชั่น เป็นภาพช้า ๆ ไม่เร่งรีบ เราจะมองเห็น หมัดทุกหมัดของคู่ต่อสู้ มองเห็นการเคลื่อนไหว ทุกอย่างของธรรมชาติ และก็เข้าใจมัน จากที่เราทำงานจนไม่มีเวลา เร่่งรีบหัวฟู งานกองเต็มโต๊ะทำไม่ทัน  ไม่มีเวลาจะทำอะไรทั้งนั้น  ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่มีเวลาให้คนรัก ไม่มีเวลาแก้ปัญหา หากเราพยายาม เราก็จะมีเวลา เอง

    เวลามันไม่ได้หนีไปไหน มันอยู่กับเราตลอด เพียงแต่เราหามันไม่เจอแค่นั้น
 
     ถ้าเรานั่งสมาธิปัสสนา มากๆเข้า ตั้งใจและมุ่งมั่นมากเข้า เราจะพบกับ ปิติ หรือความสุขระดับหนึ่ง เราก็อย่าได้ยึดติดให้เป็นกิเลส เมื่อเราพบความทุกข์ ก็อย่าได้ยึดติด ให้ครองสติให้เป็นกลาง และฝึกฝนจิตใจตลอดเวลา เห็นใหม ว่ามันไม่ต่างจากการดึงสายว่าว เลย ไม่ต่างจากธุรกิจเลย อย่างไรเราก็ต้องคอยฝึกฝน ตัวเองอยู่ตลอด อย่าขี้เกียจ อย่าท้อแท้ อย่าสิ้นหวัง อย่าประมาท
   พยายามและตั้งอกตั้งใจมุ่งมั่นทำให้ได้อย่างมีสติและปัญญา แล้วเราจะพบหนทางนั้น

     การที่จะเข้าถึงวิปัสนาได้ ไม่ใช่การอ่านหนังสือเป็นร้อยเป็นพันเล่ม แล้วจะรู้ทุกอย่าง มันเป็นการรับรู้ภายนอก แค่สมอง  ถ้าไม่ได้ลงมือฝึกฝนปฏิบัติแล้ว คุณจะไม่ได้รับรู้อะไรเลย คุณจะไม่เห็นธรรมชาติ และสัจธรรม อะไรเลยในชีวิต
  มันต้องลงมือทำและปฏิบัติเท่านั้น
ผู้รู้ที่เคยปฏิบัติ เคยเข้าถึง วิปัสนาขั้นสูง หรือพระครูที่ประสบความสำเร็จแล้ว หรือ นักธุรกิจชื่อดังหลายท่านที่ประสบความสำเร็จแล้ว  ได้แต่บอกหนทาง ชี้ทางให้ เล่าให้ฟัง เขียนหนังสือให้อ่าน เขาไม่สามารภจูงมือคุณไปด้วย ไม่สามารถพาคุณไปพบกับความสุข ในโลกนิพพาน หรือโลกธุรกิจของเขาได้ เพราะสิ่งที่เขาได้มาเขาต้องผ่านมันด้วยตัวเองก่อนทั้งนั้น มันจูงมือไปไม่ได้ เขาก็ได้แต่ชี้ทาง ให้คุณเดิน คุณต้องเริ่มต้นก้าวเดินด้วยตัวเอง พร้อมกับหาความรู้ หรือหนังสือชี้ทาง หรือถามผู้รู้ทาง ระหว่างทางที่คุณเดิน เพื่อไม่ให้คุณหลงทาง
    ครูเคยบอก แล้วว่าเมื่อพบผู้รู้ที่เป็นคนดี มีเมตตา อย่าได้ปล่อยให้หลุดไป เพราะนั่นคือหนังสือ ที่หาซื้อไม่ได้ คนๆ นั้นจะเป็นผู้บอกทางเรา
   เมื่อได้พบคนบอกทาง แต่อย่าได้เชื่อเขาทั้งหมด จงใช้สติปัญญาตรึกตรองสิ่งที่เขาทำ และสิ่งที่เขาคิดให้ดี พิสูจน์ จนเป็นจริงแล้วจึงนำไปปฏิบัติ เพราะคนเราไม่เหมือนกัน การเดินทางซ้ำรอยเท้าคนอื่น มันง่าย แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาหลงทางหรือไม่
 
        ถ้าถามครู ว่าครูทำอย่างไร ถึงได้ทำอาชีพนี้ได้ทั้งที่ไม่ได้จบ ด๊อกเตอร์หรือจบจากสถาบันชื่อดัง ทั้งหลาย ตอบได้คำเดียว ว่าครูเริ่มจากการเห็นใจผู้อื่น และอยากช่วยเหลือเขา อยากให้คนที่เขาด้อยกว่าเรา มองเห็นศักยภาพของตัวเอง และทำงานอย่างมีความสุข ในหน้าที่ของตัวเอง
      แม่บ้านเป็นอาชีพที่ ด้อยค่าที่สุดในสายตาพนักงานทั้งองค์กร โดนดูถูก และเขาก็ดูถูกตัวเองด้วย มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง เมื่อเขาไม่รู้จักค่าของตัวเอง แล้วใครที่ใหนจะมองเห็นค่าของคุณ
      แต่กลับเป็นฟันเฟือง กำลังสำคัญที่สุดในองค์กร จำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญในงานของตัวเอง แต่กลับกัน แม่บ้านกลับเป็นแผนกที่มีความรู้น้อยที่สุด ไม่มีปากเสียง พูดไม่เป็น เสียงที่พูดก็ไม่มีความหมาย กลับเป็นเสียงบ่น เสียงของความขี้เกียจ และความทุกข์ยาก ที่ไม่มีใครรับรู้ หรือเข้าใจ
   
     ครูเริ่มจากการทำงานให้คนอื่น ทำธุรกิจ ที่ไม่ใช่ธุรกิจ โดยไม่มองไปที่กำไรหรือผลตอบแทนที่สูง ไม่มองความได้เปรียบเสียเปรียบ ให้เท่าที่เราจะให้ได้ โดยที่ ไม่ต้องเบียดเบียนตัวเอง  เราอยู่ได้เขาก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน มองกันที่ผลของมัน ทำให้เต็มที่เต็มพลังความสามารถ มีเท่าไหร่ที่จะให้เขาดี ขึ้นได้ ก็ให้  และไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง ว่าเราให้เขาไม่เต็มที่ ตอนทำงาน


การที่เราจะให้ความรู้กับคนอื่นได้ เราต้องรู้ก่อน รู้จากการลงมือทำและปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นและตั้งอกตั้งใจ


    การที่เราจะให้ความสุขคนอื่นได้ เราต้องมีความสุขก่อน คนที่มีความสุขใครอยู่ใกล้ ก็จะมีความสุขไปด้วย คนที่มีความดี ใครอยู่ใกล้ก็จะ มีความดีไปด้วย
         เขาว่ากันว่า คนดี จะดึงดูดคนดีเข้าไปหากันเอง แล้วคนเลว จะดึงคนเลว เข้ากลุ่มกันเอง
 เป็นความโชคดีในชีวิต ของครูออยที่พบแต่คนดีๆ มีที่ปรึกษาที่ดี และเป็นคนดี ได้พบและร่วมงานกับคนที่มีเมตตากรุณา ให้กำลังใจ และตักเตือน ให้ความรู้และชี้แนะแนวทาง และเป็นผู้บอกหนทางที่ดีให้เดิน
 
      การที่เราจะช่วยเหลือใคร ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือ แต่เรื่องเงินทอง เพราะมันไม่ยั่งยืน ให้ความรู้และให้อาชีพเขา และให้เขายืนได้ด้วยตัวเองนั่นแหละ เขาเรียกว่าเป็นความปราถนาดีจริงๆ